มงคลกิตติ์ เผย พร้อมส่งทนายช่วยเหลือ กรณีที่ สี่แยกปากสล็อตแตกง่ายหวานโดนฟ้อง โดยสนธิญา เต้ ชี้เป็นเสรีภาพประชาชนและศิลปินท้วงติงรัฐบาลได้ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กรณีที่ สี่แยกปากหวานโดนฟ้อง โดย นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษา ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายยุติธรรม และ สิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าทาง สี่แยกปากหวานแปลงเพลงแซวรัฐบาล
ในประเด็นนี้ เต้ มงคลกิตติ์ ระบุว่า
ตนพร้อมส่งทนายความต่อสู้คดี สี่แยกปากหวานโดนฟ้อง เพราะเป็นเสรีภาพของศิลปิน และประชาชน ที่ท้วงติงติติงรัฐบาลได้ ถ้าปิดปากก็เหมือนเป็นเผด็จการ 100% จะให้ประชาชนคิด และพูดดี ๆ อย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้
“อีก 2 วัน พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่หรือไป ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ถูกตัดสินให้ไป ผมจะตัดสกินเฮด และวิ่งรอบสภา 9 รอบ แต่ในวันพรุ่งนี้ (29 ก.ย.) เวลา 09.09 น. ซึ่งเป็นวันก่อนวันตัดสิน ผมจะเอาของมาเซ่นไหว้แก่พระสยามเทวาธิราช และศาลตายาย ที่รัฐสภา
เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินตามลายลักษณ์อักษร อย่าไปติดสินโดยคำให้การใหม่ เพื่อให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป ให้ชอบด้วยกฎหมาย” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
ทั้งนี้คอนเสิร์ตสี่แยกปากหวาน มีศิลปิน 4 คนขึ้นแสดงได้แก่ 1.อ๊อฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ 2.ว่าน ธนกฤต พานิชวิทย์ 3.ป๊อป ปองกูล สืบซึ้ง และ 4.โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน ที่ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต “สี่แยกปากหวาน ตอน Will survive #สู้ตายเราต้องรอด” เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา
ทาง อู๋ เย็นตาโฟประตูผี ระบุว่า “จากที่ได้แอบอ้างใช้ภาพจากทางร้านว่าท่าน อ. ชัชชาติ ได้มาทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านแล้วตะโกน ” ขอข้าวสวย 1 ชามด้วย ” เนื่องจากเป็นออเดอร์สุดท้าย เลยคิดว่าเดี๋ยวจะเสิร์ฟข้าวสวยให้ผู้ว่าหลังจาก เสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวให้ผู้ติดตามหมดก่อน เมื่อเกาเหลาและก๋วยเตี๋ยวเสร็จตนจึงเอาไปเสิร์ฟให้ก่อน โดยหลัง จากเสิร์ฟเสร็จตนก็หยิบกระเทียมเจียวอีกโต๊ะไปเสิร์ฟให้ชัชชาติ
ทำให้ชัชชาติโมโหโวยวาย ว่า “ผมไม่ได้สั่งกระเทียมเจียว น้องเอามาให้ทำไม ไหนข้าวสวยล่ะลืมแล้วหรอ ถ้าเสิร์ฟข้าวสวยก่อนมันยากก็ปิดร้านไป ” เน้นสร้างภาพหน้ากล้องไม่เน้นสร้างผลงาน ซึ่งทางร้านต้องขอแจ้งว่า ไม่เป็นความจริง ตัวตนจริงๆท่าน อ. ชัชชาติ น่ารักมากๆ และมาทานบ่อยมากๆจนเป็นลูกค้าประจำ”
พร้อมยังได้โพสต์ภาพชนหมัดกับผู้ว่าชัชชาติ และยังได้โพสต์ภาพบนกำแพงที่มีภาพของผู้ว่าชัชชาติที่มากินร้านอาหารที่นี่บ่อยครั้งอีกด้วย ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าต้นทางนั้นยังไม่ได้ถูกลบอย่างใด
‘หมอวาโย’ อัด ‘อนุทิน’ ไม่เลี้ยง ไล่ไปเรียนหมอก่อนออกกัญชาเสรี
หมอวาโย จากพรรคก้าวไกลพูดถึงเรื่องนักเรียนสูบกัญชา อัด อนุทิน ยับ ไล่ให้กลับไปเรียนหมอก่อนค่อยออกนโยบายกัญชาเสรี นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง หรือ หมอเก่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นกรณีนักเรียนสูบกัญชา ที่มีการเผยแพร่คลิปของนักเรียน ม. ต้นจำนวน 5 คน และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักดังที่มีการรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น
หมอวาโย พรรคก้าวไกล กล่าวว่า นี่เป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้อย่างชัดเจนต่อนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ว่าเป็นไปเพื่อการแพทย์หรือสันทนาการกันแน่ ในขณะที่ประชาชนที่ไม่ได้ปิดหูปิดตาได้เห็นว่ากัญชาถูกปลดล็อกเอามาใช้ทำอะไร แต่นายอนุทินกลับยังคงกล่าวอ้างอยู่ตลอดเวลาว่า ที่ทำไปนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ทางการแพทย์
อันดับแรกที่ต้องพิจารณา คือ ตอนนี้กัญชามีผลประโยชน์อะไรต่อวงการแพทย์ไทยบ้าง ตนเห็นมีแต่รายงานเคสจากกัญชาเพิ่มขึ้น แพทย์ออกมาบ่นกันรายวัน จนถึงขนาดลงชื่อกันเป็นพันๆ คนต่อต้านนโยบายดังกล่าว ก่อนที่จะอ้างว่าจะเอากัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ จะต้องรู้ก่อนกว่าวงการแพทย์เขาต้องการอะไร
เขาขาดแคลนยาหรือวิธีการรักษาอะไร และกัญชาสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้จริงหรือไม่ หรือรักษาโรคอะไรได้บ้าง การจะตอบคำถามนี้ได้ คนตอบควรจะต้องเป็นหมอ และการจะเป็นหมอได้ก็ต้องไปเรียนหมอให้จบ และสอบใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ผ่านทั้ง 3 ขั้นตอนก่อน
สถานการณ์กัญชาในประเทศไทยตอนนี้ ถือว่ามีความเสรีมากที่สุดในโลก ประชาชนหาซื้อกัญชาได้ง่ายกว่าสุราและบุหรี่ เนื่องจากสุรายังมีช่วงเวลาที่ถูกจำกัดการขาย ส่วนบุหรี่นั้นก็ไม่สามารถวางแสดงผลิตภัณฑ์ได้ ณ จุดจำหน่าย แต่ที่น่าอนาถจิตอนาถใจที่สุด คือ คนขายไม่สามารถโฆษณาเหล้ากับบุหรี่ได้ แต่ประเทศไทยตอนนี้รมว.สาธารณสุข นำกระทรวงฯ ออกมาโปรโมตกัญชา นี่มันหนักกว่าเหล้าและบุหรี่อีก
ถ้าจะขายกัญชากันจริงๆ อย่างน้อยมาตรฐานในการจำหน่ายต้องไม่ต่ำกว่าบุหรี่ และถ้าจะบอกว่าเอาไปใช้ในทางการแพทย์จริงๆ มันก็ไม่ควรต่ำกว่ามาตรฐานของการควบคุมมอร์ฟีนที่ใช้ในทางการแพทย์ เวลานำเข้ามอร์ฟีนก็ต้องผ่านกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลไหนจะซื้อก็ต้องขออนุญาตกระทรวงด้วย จะซื้อเท่าไร จะเก็บไว้ในโรงพยาบาลเท่าไรต้องบอกกระทรวง
กระทรวงต้องรู้และควบคุมได้ทั้งหมด เวลาหมอจะจ่ายยามอร์ฟีนให้คนไข้ หมอต้องเขียนบันทึกและรายงานโรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลเก็บไปรายงานกระทรวงอีกทีด้วยว่า ใช้ไปเท่าไร กับใคร และเหลือคงค้างอยู่เท่าไร อย่างน้อยมันก็ต้องแบบนี้